ติดต่อโฆษณาได้ที่ Tel. 094-8659368 ; Email:Ruttanapatum@gmail.com;

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กลุ่มทรู ประเมินอุทกภัย กระทบธุรกิจประมาณ 5% โดยส่วนใหญ่เกิดจากการตัดไฟ เล็งนำระบบโซล่าเซลล์เข้ามาใช้ในพื้นที่เสี่ยง ยืนยันการลงทุนปีหน้ายังเหมือนเดิม ไม่กังวลผลกระทบต่อเนื่อง เชื่ออุตสาหกรรมฟื้นตัวกลับมาได้แน่


ศุภชัย เจียรวนนท์ (ที่ 2 จากขวา) และคณะผู้บริหารกลุ่มทรู

นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้ทางบริษัทอยู่ในระหว่างการประเมินมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น เพราะจะเกี่ยวเนื่องกับในแง่ของบริษัทประกันภัย จากภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ทำให้ยังไม่สามารถระบุเป็นจำนวนเงินได้ โดยความเสียหายหลักจะของทรู จะอยู่ที่การให้บริการบรอดแบนด์เป็นหลัก รองลงมาคือส่วนของทรู วิชั่นส์ และการให้บริการโทรศัพท์มือถือ ทรูมูฟ และทรูมูฟ เอช

"ในส่วนของบรอดแบนด์มีชุมสายย่อยที่โดนผลกระทบประมาณ 10 แห่ง ครอบคลุมประชากรราว 50,000 คน ในพื้นที่กรุงเทพฯ ตอนบน นนทบุรี และปทุมธานี ส่วนการให้บริการทรู วิชั่นส์ในส่วนของเคเบิล จะโดนผลกระทบจากการตัดไฟในแต่ละพื้นที่ และโครงข่ายโทรศัพท์ที่โดนผลกระทบจากน้ำท่วมมี 9 สถานีฐาน อยู่ในพื้นที่ อยุธยา ปทุมธานี ที่จมน้ำ และถ้ารวมในพื้นที่ที่มีการตัดไฟจะรวมเป็น 100 สถานีฐาน จาก 9,000 ทั่วประเทศ"

จากผลกระทบดังกล่าวที่เกิดขึ้น ระบบการคิดเงินค่าบริการรายเดือนของทั้งทรู อินเทอร์เน็ต และทรูวิชั่นส์ จะปรับเปลี่ยนไปคิดตามจำนวนวันที่สามารถใช้งานได้แทน ส่วนลูกค้าทรูมูฟ และทรูมูฟ เอช มีการขยายระยะเวลา แม้ว่าลูกค้าเติมเงินจะใช้วันหมดแล้วก็จะขยายให้ เป็นเดือนต่อเดือน ในพื้นที่เขตน้ำท่วมและยังเติมเงินให้ฟรีเป็นครั้งๆไป ครั้งละ 20 บาท รวมถึงให้บริการส่งข้อความให้เบอร์ที่ต้องการติตต่อโทรกลับ

"เหตุการณ์ครั้งนี้ น่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของทรู ราว 5-6% ของช่วงที่ประสบภัยเช่นเดียวกับทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรม โทรคมนาคม ซึ่งในส่วนของเคเบิล ทรูวิชัน ก็มีลูกค้าที่ดาวเทียมประมาณ 3-4% เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ"

โดยรวมแล้วกลุ่มทรู ได้ใช้งบประมาณไปแล้วราว 43 ล้านบาท ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยแบ่งเป็น 23 ล้านบาทจากการให้บริการเติมเงิน-เติมวันให้ลูกค้า และ 20 ล้านบาทในการร่วมบริจาคไปยังหน่วยงาน และมูลนิธิทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

*** เล็งนำโซล่าเซลล์เข้ามาใช้ในพื้นที่เสี่ยง ***

นายศุภชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า อุทกภัยครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่ดีกับทรู คอร์ป ทำให้ต้องเตรียมตัวให้มีความพร้อมมากขึ้น และวางมาตรการสำหรับประเมินว่าถ้าปีหน้ามีเหตุที่ไม่คาดฝันมากกว่านี้ ซึ่งในระหว่างนี้ก็อยู่ในช่วงหารือนำแผงโซล่าเซลล์สำหรับผลิตไฟฟ้าเข้ามาใช้ในพื้นที่ประสบภัย

"การนำแผงโซล่าเซลล์เข้ามาใช้ร่วมกับสถานีฐานจะต้องแล้วเสร็จภายใน 6-7 เดือน เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจะเกิดขึ้นในปีนี้ ทำให้ตอนนี้ต้องประชุม หารือ เพื่อดำเนินการณ์ไปพร้อมๆกับการซ่อมบำรุงในพื้นที่ประสบภัย ขณะเดียวกันก็ต้องหามาตรการ และคำนวนหาพื้นที่ที่อาจเกิดภัยพิบัติในอนาคต"

นอกจากนี้ยังมีแผนร่วมมือกับการไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่องดเว้นการตัดไฟสถานีฐาน เนื่องจากเป็นสาธารณูปโภคที่ประชาชนจำเป็นต้องใช้ ซึ่งการไฟฟ้า ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

*** เปิดศูนย์คอลเซ็นเตอร์ต่างจังหวัด ***

ในส่วนของการให้บริการคอลเซ็นเตอร์กับลูกค้า จากเดิมที่เปิดศูนย์ให้บริการกระจายอยู่หลายแห่งในกรุงเทพฯ ตอนนี้ได้เปิดศูนย์ให้บริการคอลเซ็นเตอร์เพิ่มเติมที่หัวหิน มีพนักงานประจำราว 300 คน และในอนาคตอันใกล้ จะมีเปิดเพิ่มที่ชลบุรี เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงให้น้อยที่สุด

*** ไม่กระทบขยายบริการ 3G ***

นายศุภชัย กล่าวถึงการขยายพื้นที่ให้บริการ 3G ให้ครอบคลุมทั่วประเทศว่า ขณะที่ยังดำเนินการณ์ต่อไปเรื่อยๆ จะมีการหยุดชะงักบ้าง ในบางพื้นที่ ที่ผู้รับเหมาไม่สามารถเข้าไปติดตั้งได้ แต่เชื่อว่าหลังเหตุการณ์ภัยพิบัติผ่านไป ก็จะสามารถติดตั้งได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

"งบลงทุนในการขยายพื้นที่ให้บริการ 3G และบรอดแบนด์ ในปีหน้ายังคงอยู่ที่ 1 − 1.5 หมื่นล้านบาทเช่นเดิม แต่จะรวมถึงงบในการวางแผนป้องกันภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย"

ขณะเดียวกันเชื่อว่าภัยพิบัติครั้งนี้อาจส่งผลให้แก่หลายๆอุตสาหกรรมยาวนานถึงช่วงครึ่งปีหน้า ซึ่งในส่วนของอุตสาหกรรมโทรคมนาคม จะฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ทำให้อาจจะไม่เติบโตตามที่ควรจะเป็นในช่วงแรก แต่ท้ายที่สุดในช่วงครึ่งปีหลังก็จะดีดตัวกลับมา


ข่าวโดย ผู้จัดการ

อ่านต่อที่นี่

ถ้าแบ่งยุคของ Internet ในตอนนี้อาจแบ่งได้ 2 ยุค และเรากำลังก้าวไปสู่ยุดที่ 3 ในไม่ช้านี้ ในยุดแรก Web 1.0 นั้นเป็นเรื่องของการที่ผู้ให้บริการนำเสนอข้อมูลให้กับบุคคลทั่วไป โดยทำในลักษณะเดียวกับหนังสือทั่วไป ที่ผู้อ่านมีส่วนร่วมน้อยมากในการเติมแต่งข้อมูล แต่ในยุคของ Web 2.0 บุคคลทั่วไปคือผู้สร้างเนื้อหา และนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ จาก Web 2.0 ในเปลือกนัท ทำให้เราเข้าใจว่าในยุคที่ 2 นั้นเป็นเรื่องของการแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง โดยการสร้างเสริมข้อมูลสารสนเทศ ให้มีคุณค่าและมีข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด ดังตัวอย่างที่เป็นสิ่งที่ทุกคนคงรู้จักกันดีอย่าง Wikipedia ทำให้ความรู้ถูกต่อยอดไปอยู่ตลอดเวลา ข้อมูลทุกอย่างได้มาจากการเติมแต่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เกิดจากการคานอำนาจของข้อมูลของแต่ละบุคคลทำให้ข้อมูลนั้นถูกต้องมากที่สุด และจะถูกมากขึ้นเมื่อเรื่องนั้นถูกขัดเกลามาตามระยะเวลายาวนาน

และวันนี้ Web 3.0 กำลังจะมา เป็นการนำแนวคิดของ Web 2.0 มาทำให้ Web นั้นสามารถจัดการข้อมูลจำนวนมาก ๆ โดยอย่างที่เรารู้กันดีว่าผู้ใช้ทั่วไปนั้นเป็นผู้สร้างเนื้อหา ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น เช่นการเขียน Blog, การแชร์รูปภาพและไฟล์มัลติมีเดียต่าง ๆ ทำให้ข้อมูลมีจำนวนมหาศาล ทำให้จำเป็นต้องมีความสามารถในการข้อมูลดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเอาข้อมูลต่าง ๆ เหล่านั้นมาจัดการให้อยู่ในรูปแบบ Metadata ที่หมายถึงข้อมูลที่บอกรายละเอียดของข้อมูล (Data about data) ทำให้เว็บกลายเป็น Sematic Web กล่าวคือเว็บที่ใช้ Metadata มาอธิบายสิ่งต่าง ๆ บนเว็บ ซึ่งในตอนนี้เราจะเห็นกันทั่วไปนั่นคือ Tag นั้นเอง โดยที่ Tag ก็คือคำสั้น ๆ หลาย ๆ คำ ที่เป็นหัวใจของเนื้อหา เพื่อทำให้เราสามารถเข้าถึงเนื้อหาต่าง ๆ ได้ด้วยการใช้ Tag ต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง แต่แทนที่ผู้ผลิตเนื้อหาจะใส่เอง แต่ตัว Web จะทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้น แล้วให้ Tags ตามความเหมาะสมให้เราแทน

โดยเมื่อได้ Tag มาแล้ว ข้อมูลแต่ละ Tag จะมีความสัมพันธ์กับอีก Tag นึงโดยปริยาย เช่นข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท Apple ก็จะมี Tag ที่เกี่ยวกับ Computer, iPod, iMac … และ Tag ที่มีเนื้อหา Computer ก็มี Tag ที่เชื่อมโยงกับ Tag ที่มีเนื้อหาด้าน Electronic โดยจะเชื่อมโยงแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ทำให้ข้อมูลมีการเชื่อมโยงกันเหมือนฐานข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันในเชิงข้อมูล ทำให้อินเตอร์เน็ตกลายเป็นฐานข้อมูลความรู้ขนาดใหญ่ ที่ข้อมูลทุกอย่างถูกเชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบมากขึ้น

เนื้อหาบางส่วนจาก Web 3.0 ในเว็บ BlogSpotting, BusinessWeek Online

Web 1.0 = Read Only, static data with simple markup

Web 2.0 = Read/Write, dynamic data through web services

Web 3.0 = Read/Write/Relate, data with structured metadata + managed identity

Some people say that web 2.0 is the network as a OS. By the time of web 3.0 we should have the web behaving more like a single application with many features then an OS with many apps.

Addi at October 25, 2006 07:05 PM

* Web 1.0 allowed us to share software and files resulting in a fundamental reduction in the duplication of effort during problem solving.
* Web 2.0 services now allow us to share more sophisticated functionality but at a smaller granularity promoting greater reuse of solutions and therefore another drastic reduction in the duplication of effort.

* Web 3.0 will allow us to shunt in human intelligence in a dynamic cooperative manner, with the help of a tightly connected network of personal A.I. assistants, resulting in an explosive improvement in our ability to share solutions and talent.

Robert Oschler at December 12, 2006 01:01 AM

Web 3.0 is coming. The Web is the User Interface to the Internet. The Internet is not the Web.

They both continue to evolve through the application of creative intelligence by people all over this planet to the interconnection of computing devices and machines (the Internet) and the content that is consumed by a living end-user (via the Web's Browser).

Andy Carvin's comment was the closest when he referenced Tim Berners-Lee's notion of the read-write web. HTML was originally derived from the document mark up language used for technical documentation. This was to enable the display of Content for an end-user to consume (read and view). The point is the Web is about communications, not the technology infrastructure, not the wired or wireless device used to access the infrastructure to enable communications, and not the business opportunities that sprout from the capabilities of modern information technology. Execution will be another Internet component, just as VOIP is and IPv6. The interface to the content that is posted, presented, created, and generated is made humanly available via the Web.

So, if we follow Tim Berners-Lee's notion of the Web as communications, I would propose that the Web 3.0 can be defined via the following logic:

[1] Web 1.0 was about making information, regardless of media, available for push to and pull by individual users.

[2] Web 2.0 is Web 1.0 with the addition of the capability for individual users to push information and media to the Web site.

Therefore,

[3] Web 3.0 will be Web 2.0 with the addition of individuals being able to share as a group and in real time information and media.

Just as game development has evolved to enable massively multiplayer online games (MMOG), the sharing of an environment will allow similar real time communication that the MMOG players enjoy.

Semantic Web is a combination of extrapolated database technology and algorithm based automaton agents. The output of applications built on the Semantic Web will be served through the Internet to the Web Browser, whether that Browser resides on or is built into a mobile phone, a refrigerator, a television set, or a computer.

The Web is all about communications.

Thanks for listening.
Harrison Rose
Silicon Valley
Harrison Rose at January 14, 2007 09:24 PM




อ่านต่อที่นี่

การใช้งานอินเตอร์เน็ตถูกแบ่งออกเป็นยุคๆ ซึ่งตอนนี้เราก็ใกล้ที่จะก้าวเข้าสู่ อินเตอร์เน็ตยุคที่ 3 กันแล้ว หรือที่เราเรียกกันว่า Web 3.0 เชื่อว่าหลายๆ คนคงยังไม่รู้ว่า Web 3.0 นั้นมันคืออะไรกัน แล้วแล้วมันผ่าน Web 1.0 และ Web 2.0 มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้าจะพูดถึง Web 1.0, 2.0, 3.0 หลายๆ คนคงจะคิดว่ามันเป็นเทคโนโลยีใหม่หรือเปล่า ? แต่ไม่ใช่เลยมันไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ พูดง่ายๆ คือมันไม่ใช่เทคโนโลยีอะไรเลย มันเป็นเพียงแค่หลักการในการนำเสนอข้อมูลหรือเนื้อหาออกมาเท่านั้นเอง (ใช้คำถูกเปล่า ?) เราลองมาดูว่าอินเตอร์เน็ตในแต่ละยุคนั้นมันมีหลักยังไง

Web 1.0 = Read Only, static data with simple markup
Web 2.0 = Read/Write, dynamic data through web services
Web 3.0 = Read/Write/Relate, data with structured metadata + managed identity

ในส่วนของเว็บ 1.0 และเว็บ 2.0 ผมคงจะไม่พูดถึง เพราะมันกำลังจะผ่านไป ถ้าใครยังไม่รู้ก็ลองถาม Google ดูครับ เรื่องของเรื่องคือวันนี้ผมมีวีดีโอ Web 3.0 มาให้ดูกันครับ แต่ทว่าจะดูไม่เรื่องเรื่องเลยถ้าเรายังไม่รู้ว่า Web 3.0 คืออะไร ? ซึ่งเว็บ 3.0 นี่แระที่ผมเชื่อว่ามันจะมาเปลี่ยนโลกอินเตอร์เน็ตให้น่าอยู่มากขึ้น น่าใช้งาน และมันจะทำให้ปัญหาหลายๆ ปัญหาหมดไป (หรือเปล่า) Web 3.0 ถูกคิดขึ้นบนพื้นฐานจากปริมาณของข้อมูลใน Web 2.0 ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว แต่การเพิ่มขึ้นของข้อมูลนั้นมันไม่ได้มีคุณภาพเอาซะเลย และจากเหตุผลนี้ทำให้เว็บต่างๆ ต้องมีระบบบริหารจัดการเว็บให้ดีขึ้น ง่ายขึ้น ด้วยรูปแบบ Metadata ซึ่งก็คือการนำข้อมูลมาบอกรายละเอียดของข้อมูลนั้นๆ นั่นเอง ซึ่งอาจจะเรียกว่า Tag ก็ได้ โดยระบบเว็บจะเป็นผู้จัดการในการค้นหาข้อมูลให้เราเอง จึงสามารถคาดการณ์ถึงข้อมูลได้ว่าจะมีการเชื่อมโยงกันอย่างมีระบบระเบียบมากขึ้น Web 3.0 ดูๆ ไปแล้วก็คงเป็นการพัฒนา แก้ไขปัญหาในระบบเว็บ 2.0 มากกว่าการสร้างบนพื้นฐานความรู้ใหม่ โดยเว็บ 3.0 นี้จะไปเน้นเรื่องการจัดการข้อมูลในเว็บมากขึ้น ดีขึ้น และทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถเขัาถึงเนื้องหาของเว็บได้ดีขึ้นนั้นเอง

Web 3.0 มันมีอะไรบ้าง

Artificial Intelligence หรือ AI หลายๆ คนคงจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว มันเป็นระบบสมองกล จะสามารถคาดเดาผู้ใช้งานได้ว่ากำลังค้นหา หรือคิดอะไรอยุ่
Semantic Web เป็นระบบที่มีการเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ พยายามทำให้ภาษาทั้งหลายคุยกันได้เองหรือเข้าใจกันได้ ทั้งที่อยู่ในเว็บของผู้พัฒนาและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ให้มีความสัมพันธ์กัน ซึ่งมันจะไม่สรุปให้ว่าข้อมูลไหนดีที่สุด แต่จะเอาสิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาเทลงตรงหน้า จะทำให้ระบบฐานข้อมูลมีขนาดใหญ่มากๆ หรืออาจทำให้เกิดฐานข้อมูลโลก
Composite Applications เป็นการผสมผสาน Application หรือโปรแกรม หรือบริการต่างๆ ของเว็บ ที่มาจากแหล่งต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้งานนั้นเอง
Semantic Wiki เป็นการอธิบายคำๆ หนึ่ง คล้ายกับดิกชันนารีนั้นเองครับ ดังนั้นถ้า Web 3.0 เป็น Wiki ด้วยแล้วนั้น จะทำให้เราสามารถหา ความหมาย หรือข้อมูลต่างๆ ได้ละเอียด และแม่นยำมากขึ้น
Ontology Language หรือ OWL เป็นภาษาที่ใช้ในการอธิบายสิ่งต่างๆ ให้มีความสัมพันธ์กัน โดยดูจากความหมายของสิ่งนั้นๆ ซึ่งก็จะเชื่อมโยงกับระบบ Metadata นั้นเอง


ที่มา : techcrunch.com และ computers.co.th

อ่านต่อที่นี่

 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Best WordPress Themes